"ให้จ้องมองลูกที่คู่ต่อสู้ตีมาไว้ตลอด จนกระทั่งลูกปิงปองกระทบไม้"
นี่เป็นคำสอนที่แนะนำให้ใช้กันไม่ว่าจะเป็นปิงปอง เทนนิส หรือกีฬาประเภทอื่นๆที่ใช้การเหวี่ยงไม้ตีลูก ซึ่งมักมีคนเถียงว่าเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะจ้องมองลูกไว้ตลอดเวลาเพราะลูกปิงปองเคลื่อนที่เร็วมากหรือพอคว่ำหน้าไม้เข้าหาลูก หน้าไม้จะปิดบังการมองเห็นลูกปิงปองไปแล้ว ซึ่งไม่ว่าจะเถียงกันอย่างไร ประเด็นที่สำคัญกว่าก็คือ ในจังหวะที่ลูกกระทบไม้ ตำแหน่งของศีรษะ ตา และมือ มีความสัมพันธ์กันอย่างไร
ศีรษะหรืออวัยวะส่วนหัวมีน้ำหนักมิใช่น้อย การผงกหัวไปมาก้มๆเงยๆตลอดเวลาย่อมส่งผลทำให้ยากที่จะรักษาสมดุลของร่างกาย หรือถ้าหมุนศีรษะตามแถมกลอกตาไปมาด้วย ย่อมยากจะตีลูกได้แม่นยำ ดังนั้นจึงต้องควบคุมแนวการตั้งศีรษะให้คงที่ไว้ตลอดแล้วหมุนศีรษะเพียงเล็กน้อยตามทิศทางที่ลูกปิงปองลอยมา โดยควบคุมดวงตาให้มองไปตรงๆข้างหน้าไว้เสมอ ไม่ใช้วิธีกลอกลูกตาไปมาหรือเหลือบมองลูกด้วยหางตาโดยไม่ยอมหมุนศีรษะ ถ้านักปิงปองรู้จักบิดตัวเพื่ออัดแรงจะทำให้ไม่ต้องหมุนศีรษะเลยก็ยังได้เพราะศีรษะจะเคลื่อนตามการบิดตัวอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม การจ้องมองตามลูกไว้ตลอด(ตามที่สอนกัน) ทำให้ระบบประสาทไม่รับรู้ต่อความเร็วของลูกที่ลอยมาเนื่องจากจะมองเห็นลูกปิงปองอยู่กลางจอภาพของประสาทตาไว้เสมอ ส่งผลให้ในจังหวะที่ต้องเคลื่อนมือเหวี่ยงไม้เข้าหาลูกก็ต้องเสียเวลาเคลื่อนศีรษะตาม แล้วคิดตัดสินใจโดยสมองขาดการรับรู้ข้อมูลความเร็วของลูกที่ชัดเจน แล้วจึงเหวี่ยงไม้เข้าหาลูก
จากการวิจัยพบว่า แชมป์ปิงปองไม่ได้เคลื่อนศีรษะเพื่อมองตามลูกไว้ตลอดเวลาหรอก แต่เขาจะมองลูกที่เคลื่อนออกจากไม้ของคู่ต่อสู้แค่ช่วงต้นของวิถีที่ลูกลอยมาเท่านั้น โดยรักษาตำแหน่งมุมมองของดวงตาและศีรษะให้คงที่ไว้ตลอด (eye-head stabilization) พอลูกกระทบโต๊ะก็จากเคลื่อนศีรษะมารอไว้ก่อนในตำแหน่งที่คาดการณ์ว่าจะมองเห็นการเหวี่ยงไม้กระทบลูกกลับออกไปและจะคงตำแหน่งของศีรษะไว้ที่เดิมไปอีกสักพักหนึ่งในช่วง follow-through
มือบุกต้องฝึกตบลูกที่สูงกว่าเน็ตให้คุ้นเคย โดยทั่วไปลูกโด่งที่คู่ต่อสู้ตีมามักเป็นลูกท้อปสปินหรือผสม sidespin มาด้วยซึ่งยากที่จะตีสวนกลับในจังหวะที่ลูกเพิ่งกระเด้งขึ้นเพราะลูกมักจะกระเด้งเลี้ยวออกจากโต๊ะ นักปิงปองจึงมักรอให้ลูกลอยลงมาก่อนแล้วจึงตีสวนกลับไป แต่ถ้าคู่ต่อสู้ส่งลูกแบคสปินโด่งที่ไม่สูงมากนักกลับมา มักพบว่าถ้าคว่ำหน้าไม้มากไปก็จะตีลูกติดเน็ต หรือถ้าหงายหน้าไม้มากไปก็จะตีออก
ตามหลักของลูกที่หมุนแบบแบคสปิน พอกระทบโต๊ะจะมีมุมที่กระเด้งออกมากกว่ามุมที่ลูกวิ่งลงโต๊ะ ดังนั้นพอส่งลูกโด่งที่หมุนแบคสปินข้ามเน็ตมาจะกระเด้งขึ้นจากโต๊ะในมุมแทบเป็นมุมฉาก ทำให้วิถีของลูกที่กระเด้งขึ้นชันมาก พอกระเด้งถึงจุดสูงสุดลูกก็จะมีวิถีตกที่ชันมากเช่นกัน โดยลูกจะเปลี่ยนวิถีจากชันขึ้นเป็นชันลงอย่างรวดเร็ว ถ้าคว่ำหน้าไม้เหวี่ยงไม้เข้าหาลูกในจังหวะที่ช้าไปมักกระทบลูกในจังหวะที่ลูกลง(ตามภาพที่ตำแหน่ง B) ทำให้ตีติดเน็ต หรือถ้าแก้มุมหน้าไม้ให้หงายมากขึ้นเพื่อตีลูกในจังหวะลง ก็ต้องออกแรงสู้กับแรงกระเด้งลงโดยตวัดไม้จากหงายมาคว่ำเพื่อตบลูกลงซึ่งฝึกได้ยากมากและขาดความแม่นยำ
นักปิงปองควรฝึกเคลื่อนตัวเข้าหาลูกให้เร็ว โดยคว่ำหน้าไม้เล็กน้อยตีลูกในจังหวะที่กระเด้งขึ้นสูงกว่าเน็ต(ตามภาพที่ตำแหน่ง A) ทิศของแรงกระเด้งของลูกออกจากหน้าไม้จะเป็นมุมเงยขึ้นสู้กับแรงหมุนของลูกแบคสปินที่กระทำต่อหน้าไม้อยู่ในตัว ให้ออกแรงตบจากหน้าไม้เล็งให้ลูกไปเกินกว่าตำแหน่งที่ต้องการ (ตามเส้นสีเขียวเข้ม) เช่น เล็งไปที่เส้นสกัดปลายโต๊ะของคู่ต่อสู้ จะพบว่าลูกที่กระเด้งออกจากไม้จะลงเกือบกลางโต๊ะ ดังนั้นหาต้องการตบกลับให้ลงปลายโต๊ะใกล้ๆกับเส้นสกัด(ตามเส้นประสีเขียว) ก็ต้องเล็งตีลูกให้ออกไปจากปลายเส้นสกัดบ้างเล็กน้อย
จังหวะอัดแรง (backswing) คือจังหวะช่วงเหวี่ยงไม้ปิงปองไปด้านหลัง ซึ่งนักปิงปองที่ชำนาญสามารถตีลูกปิงปองได้แรงและเร็วเพราะเขามีจังหวะอัดแรงที่ดีกว่านักปิงปองมือใหม่อย่างชัดเจน เริ่มจากการคาดการณ์ว่าคู่ต่อสู้จะส่งลูกมาทางไหนแล้วเคลื่อนตัวไปเตรียมตัวให้พร้อม จากนั้นจึงถ่ายน้ำหนักมาลงที่เท้าหลัง งอขาหลังลง บิดเอวจนกระทั่งไหล่อีกข้างหนึ่งชี้ไปทางคู่ต่อสู้ แล้วเหวี่ยงแขนอัดแรงไปทางด้านหลัง
นักปิงปองมือใหม่หรือคนที่เพิ่งเริ่มเล่นปิงปองมักกลัวว่าจะตีลูกปิงปองกลับไปไม่ทัน โค้ชบางคนจึงมักสอนว่าไม่ต้องเหวี่ยงแขนไปด้านหลังหรอก แค่ตั้งหน้าไม้รอให้ลูกวิ่งมีกระทบแล้วจึงออกแรงเหวี่ยงไม้ออกไปช่วยทำให้เล่นลูกเร็วได้ง่ายและช่วยทำให้เล่นปิงปองเป็นได้เร็วขึ้น แต่วิธีนี้นอกจากไม่สามารถตีกลับไปได้แรงแล้ว ยังทำให้เสียพลังจากการเหวี่ยงแขนหลังจากที่ลูกกระเด้งออกจากไม้ปิงปองโดยไม่จำเป็น
ควรใช้จังหวะอัดแรงในความเร็วพอๆกับความเร็วของลูกปิงปองที่คู่ต่อสู้ตีมาและจบจังหวะอัดแรงในขณะเดียวกันกับจังหวะที่ลูกปิงปองกระทบโต๊ะ
จากการวิจัยพบว่าแชมป์ปิงปองใช้จังหวะอัดแรงโดยเหวี่ยงไม้ไปด้านหลังลึกกว่านักปิงปองมือใหม่อย่างมาก มีระยะทางจากปลายสุดของช่วงอัดแรงถึงจุดที่กระทบลูกมากกว่าหรือพอๆกับระยะ follow through ทีเดียว และเสียเวลาในจังหวะการอัดแรง 65 - 70% ของการตี โดยในจังหวะที่ไม้กระทบลูกนั้นต้องมีความเร็วของไม้สูงที่สุด พอส่งลูกออกจากไม้ไปแล้วความเร็วของวงเหวี่ยงจะช้าลงเพื่อประหยัดพลัง
- ถ้าต้องการตีกลับแบบตบหรือ drive จะเหวี่ยงไม้ลงไปต่ำกว่าระดับโต๊ะไม่มากนัก แล้วสวิงไม้ไปข้างหน้ามากกว่าขึ้นข้างบน โดยควบคุมหน้าไม้ให้ตั้งฉากกับพื้นหรือปิดหน้าไม้เล็กน้อย
- ถ้าต้องการตีกลับแบบ topspin หรือ loop จะเหวี่ยงไม้ลงไปต่ำกว่าระดับโต๊ะมากขึ้น แล้วสวิงไม้ไปข้างบนมากกว่าไปข้างหน้า โดยควบคุมหน้าไม้ให้ตั้งฉากกับพื้นหรือปิดหน้าไม้มากขึ้น หากโต้กลับลูก backspin หนักๆก็ต้องหงายหน้าไม้มากขึ้นตาม
ควรรักษามุมหน้าไม้ให้คงที่ไว้ตลอดช่วงการสวิง อย่าใช้วิธีหงายหน้าไม้แล้วค่อยๆคว่ำลงเพราะจะขาดความแม่นยำ แล้วเมื่อ follow through ไปแล้วต้องรีบเคลื่อนเท้าไปเตรียมพร้อมรับลูกถัดไปจะได้มีเวลาเหวี่ยงไม้อัดแรงได้นานขึ้น
ทั้งนี้มิใช่ว่าเมื่อต้องการจะเหวี่ยงอัดแรงให้มากขึ้นก็จะถอยออกห่างจากโต๊ะมากขึ้นเพื่อช่วยให้ตัวเองมีเวลาเตรียมตัวได้นานขึ้น เพราะการถอยห่างจากโต๊ะเท่ากับการเสนอโอกาสให้คู่ต่อสู้มีเวลาเตรียมตัวบุกได้มากขึ้นเช่นกัน และเนื่องจากระยะที่ยืนห่างจากโต๊ะมีมากขึ้นย่อมส่งผลให้มีระยะที่ต้องก้าวเท้าเข้าหาลูกมากขึ้นตาม
ฝึกปรับระยะการเหวี่ยงอัดแรงให้มีระยะที่เหมาะสม ไม่กว้างไปหรือแคบไป ไม่ช้าไปหรือเร็วไป ฝึกอัดแรงจากอวัยวะที่ให้แรงได้มากโดยใช้การงอขา บิดเอว และบิดลำตัวร่วมกับการเหวี่ยงแขนไปด้านหลัง ทั้งนี้จุดกระทบลูกปิงปองกับหน้าไม้ต้องอยู่หน้าลำตัวเสมอ
พลังที่เกิดจากการอัดแรง (elastic energy) จะปล่อยแรงออกมามากที่สุดต่อเมื่อใช้เวลาในจังหวะอัดแรงน้อยกว่า 1 วินาที ซึ่งนักปิงปองต้องฝึกฝนอย่างมากให้สามารถเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วไปรอลูกไว้ก่อน พอลูกปิงปองกระเด้งออกจากไม้คู่ต่อสู้ลอยข้ามเน็ตมาจึงเริ่มจังหวะอัดแรง(มิใช่ว่าอัดแรงรอไว้ก่อนแล้วจึงเคลื่อนตัวเพราะจะสูญเสียพลังที่อัดไว้ในกล้ามเนื้อไปเกือบหมดแล้ว) ดังนั้นนักปิงปองจึงต้องสร้างกล้ามเนื้อขาให้แข็งแรงเพื่อช่วยในการเคลื่อนตัวฟุตเวิร์คได้อย่างรวดเร็วด้วย
หลายครั้งที่ได้ยินคำแนะนำหรือข้อสังเกตว่าพอเหวี่ยงแขนตีลูกพ้นหน้าไม้ออกไปแล้วให้งอแขนทำมุมตรงข้อศอกไว้ที่ 90 องศาหรือไม่ก็บอกว่าเวลาตั้งท่าเตรียมพร้อมให้งอแขนทำมุม 90 องศาเอาไว้เสมอ ทำไมจึงต้องเป็นมุม 90 องศาด้วย จะเป็นมุมอื่นมิได้หรือ
เริ่มแรกต้องเข้าใจก่อนว่าการเหวี่ยงแขนตีลูกปิงปองต้องอาศัยกล้ามเนื้อที่แขนหลายตัวทั้งกล้ามเนื้อด้านหน้าแขน(biceps)ที่เห็นชัดเวลาเราเบ่งกล้าม และกล้ามเนื้อท้องแขน(triceps)พร้อมกันไป ถ้างอแขนเข้าหาหัวไหล่(concentric contraction) จะอาศัยการหดตัวของกล้ามเนื้อ biceps พร้อมกับการยืดตัวของกล้ามเนื้อ triceps แต่ถ้ายืดแขนเยียดตรงออกไป(eccentric contraction) กล้ามเนื้อทั้งสองจะยืดหดกลับกัน
จากการวิจัยพบว่าจังหวะที่แขนเหยียดออกไป(eccentric contraction) นั้นกล้ามเนื้อจะสร้างพลังได้มากกกว่าแบบอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเหยียดแขนจะให้พลังมากกว่าการงอแขนเข้า (concentric contraction) ถึง 3 เท่าและกล้ามเนื้อจะให้พลังได้สูงสุดเมื่อทำมุมข้อศอก 90 องศาโดยประมาณ
- การตีโฟร์แฮนด์ ควรใช้แรงจากการเหวี่ยงแขนท่อนบนเป็นหลักโดยใช้หัวไหล่เป็นจุดหมุน เสริมด้วยแรงจากการตวัดพับแขนท่อนล่างที่มีข้อศอกเป็นจุดหมุน
- การตีแบคแฮนด์ ควรใช้แรงจากการตีที่เหยียดแขนออกเป็นหลักเพราะสร้างแรงได้มากกว่าการงอแขนเข้า เสริมด้วยแรงเหวี่ยงแขนท่อนล่างที่ใช้ข้อศอกเป็นจุดหมุน
อย่างไรก็ตามยังขึ้นกับความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ biceps หรือ triceps ด้วยว่าส่วนใดมีมากกว่ากัน
ในอีกแง่หนึ่ง พอ follow through การเหวี่ยงแขนออกไปแล้ว กลับมาตั้งท่าเตรียมพร้อมโดยงอแขนไว้ที่มุม 90 องศา จะช่วยทำให้สามารถขยับแขนเหยียดออกเพื่ออัดแรงตีลูกยาวหรือจะพับแขนเข้าเพื่อออกแรงตีลูกสั้นได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้มุมอาจมากกว่าหรือน้อยกว่า 90 องศาบ้างเล็กน้อยตามแต่สรีระของแต่ละคน และยกไม้ให้สูงกว่าระดับของข้อศอกไว้เสมอเพื่อช่วยในการอัดแรงได้ทันทีเมื่อปล่อยไม้ลง
นอกจากนี้หากงอแขนไว้ที่มุมคงที่ 90 องศาไว้ตลอดหรือขยับเพียงเล็กน้อยแล้วใช้แรงเหวี่ยงจากหัวไหล่และเอวโดยไม่สะบัดข้อมือ จะช่วยทำให้ตีลูกโฟร์แฮนด์แรงและแม่นยำได้ง่ายขึ้น เพราะไม่ต้องพะวงกับลำดับการใช้กล้ามเนื้อจากหลายส่วนประกอบกันในการถ่ายทอดแรงจากกล้ามเนื้อส่วนใหญ่ไปส่วนย่อย
YouTube เป็นแหล่งศึกษาความรู้ได้เป็นอย่างดี แต่คนดูต้องรู้จักเลือกดูด้วยว่า จะเลียนแบบวิธีตีแบบเก่าหรือแบบใหม่ อย่าลืมว่าแชมป์ก็ต้องปรับปรุงวิธีตีปิงปองของตนให้พัฒนาขึ้น
ลูกปิงปองจะถูกตีออกไปจากหน้าไม้ได้แรงมากน้อย ขึ้นกับว่าในจังหวะที่ไม้กระทบลูกมีแรงโมเมนตัมถ่ายทอดออกมาจากหน้าไม้สู่ลูกปิงปองได้มากเท่าใด ตามหลักแล้วยิ่งมีมวลมากขึ้นก็ย่อมเกิดแรงโมเมนตัมมากขึ้น (p=mv) แต่คงไม่มีใครเอาไม้ปิงปองผูกติดกับหน้าอกไว้แล้วใช้ลำตัวโถมน้ำหนักเข้าใส่ลูกปิงปองหรอกใช่ไหม โมเมนตัมที่จะถ่ายเทเข้าใส่ลูกปิงปองต้องเกิดจากไม้ที่เหวี่ยงด้วยความเร็วสูงสุด ซึ่งได้จากการถ่ายเทโมเมนตัมภายในร่างกายจากอวัยวะส่วนใหญ่ไปสู่อวัยวะส่วนย่อย จากขาไปสะโพก จากสะโพกไปสู่ไหล่ จากไหล่ไปสู่แขนท่อนบน จากแขนท่อนบนไปสู่แขนท่อนล่าง จากแขนท่อนล่างไปสู่มือ จากมือไปสู่ไม้ปิงปอง และสุดท้ายจากไม้ปิงปองไปสู่ลูกปิงปอง หาใช่ใช้แรงจากขาข้ามขั้นไปสู่ไม้ปิงปองแม้แต่น้อย
ภาพแสดงการเคลื่อนไหวต่อไปนี้ บอกอะไรท่านบ้าง
แรงที่ใช้ตีลูกปิงปองเบาๆที่มีน้ำหนักประมาณ 2.7 กรัม ไม่ได้เกิดจากแรงของหน้าไม้ที่กระทบลูกปิงปองออกไปเท่านั้น หากยังต้องอาศัยแรงที่เกิดจากการประสานงานกันของการเหวี่ยงแขนช่วงหัวไหล่ การสะบัดแขนช่วงข้อศอก การบิดลำตัวหรือบิดเอว และการถ่ายน้ำหนักจากเท้าหลังไปเท้าหน้า เมื่อประสานแรงจากอวัยวะเหล่านี้ให้ถูกจังหวะเวลาจะช่วยทำให้สามารถตีลูกออกไปได้แรงที่สุดโดยออกแรงน้อยที่สุดหรือนัยหนึ่งช่วยประหยัดแรงนั่นเอง ต่างจากนักปิงปองมือใหม่ที่ตีลูกโดยใช้แรงจากการเหวี่ยงแขนอย่างเดียว พอตีได้ไม่นานก็จะเหนื่อยเมื่อยล้าช่วงแขน
การถ่ายทอดแรงที่ดีเริ่มจากการถ่ายน้ำหนักจากเท้าหลังมาเท้าหน้า โดยการถ่ายทอดแรงตามแนวเส้นตรงทำให้เกิด linear momentum เป็นแรงที่มากพอที่จะเคลื่อนสะโพกซึ่งเป็นส่วนที่มีน้ำหนักมากที่สุดของร่างกาย จากนั้นร่างกายส่วนบนจะหมุนตามกลายเป็นแรงแบบ angular momentum โดยใช้แกนกลางของลำตัวตามแนวตั้งเป็นจุดศูนย์กลางของการหมุน
พอลำตัวส่วนบนหมุนก็จะดึงแขนท่อนบนให้เหวี่ยงตามโดยมีหัวไหล่เป็นจุดหมุน พอแขนท่อนบนเหวี่ยงออกก็จะดึงแขนท่อนล่างให้หมุนตามโดยใช้ข้อศอกเป็นจุดหมุน
จากภาพ 1-5 เป็นช่วงปล่อยแรงจากขามาสู่แขนจนกระทั่งตีลูกออกไป โปรดสังเกตว่าช่วงขามีการถ่ายแรงจากขาหลังมาขาหน้า เริ่มจากขาหลังงอมากหน่อยเพื่อทิ้งน้ำหนักลงที่ขาหลัง 70% และในจังหวะที่ไม้กระทบลูกนั้นขาหลังและขาหน้างอพอๆกันแสดงถึงน้ำหนักได้ถ่ายเทมาที่ขาทั้งสองเท่าๆกันแล้ว โดยยังคงรักษาตำแหน่งแกนกลางของลำตัวให้คงอยู่ในตำแหน่งเดิมหรือเคลื่อนตามแรงไปข้างหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
นอกจากนี้ตำแหน่งของหัวไหล่ยังเคลื่อนที่ตามการเหวี่ยงแขนไปด้านหน้าเพียงเล็กน้อย เพื่อใช้หัวไหล่เป็นจุดหมุนให้แรงที่ส่งต่อมาจากลำตัวถ่ายทอดแรงไปยังแขนได้ความเร็วสูงสุด จากนั้นจะมีการเหวี่ยงแขนท่อนบนจากแนวด้านหลังมาจนถึงตำแหน่งข้างลำตัวแล้วสะบัดแขนท่อนล่างโดยใช้ข้อศอกเป็นจุดหมุนซึ่งจะเหวี่ยงไปข้างหน้าเร็วมากจนเห็นภาพเบลอ ไม่น่าเชื่อว่าการถ่ายทอดแรงจากขาและลำตัวเพียงเล็กน้อยจะสามารถสร้างแรงตีได้มากขนาดนี้ พอพ้นจังหวะที่ไม้กระทบลูกออกไปจึงปล่อยให้ลำตัวเคลื่อนที่ตามการถ่ายน้ำหนักได้ตามอิสระ
คราวนี้มาดูการออกแรง Loop ดูบ้าง จะเห็นว่าเขาใช้แรงดีดของขาและเอวเพื่อส่งแรงขึ้นในแนวดิ่ง โดยใช้การดีดขาเพื่อผลักสะโพกขึ้นไปตรงๆในระยะทางที่สั้นมาก สังเกตรูปที่ 1-6 ว่าระดับเอวตั้งแต่ช่วงอัดแรงจนถึงช่วงที่ไม้กระทบลูกนั้น เอวยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าระดับโต๊ะด้วยซ้ำ
เมื่อ follow through ตามวงเหวี่ยงไปแล้ว ถ้ายังเหยียดแขนยืดออกไปไกลๆนอกลำตัว กว่าจะออกแรงลากแขนกลับมาตั้งท่าเตรียมพร้อมก็ต้องใช้แรงและเสียเวลานาน จึงแนะนำให้หุบแขนท่อนบนเข้าแนบชิดตัวเอาไว้แล้วจึงบิดเอวเพื่ออัดแรงจะทำได้ง่ายและเร็วกว่ามาก ขอให้สังเกตช่วงอัดแรงว่า นักปิงปองจีนเหวี่ยงแขนท่อนบนไปข้างหลังเพื่ออัดแรงน้อยกว่าแขนท่อนล่าง ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่ได้เหวี่ยงแขนท่อนบนไปข้างหลังในจังหวะที่ลูกกำลังกระเด้งขึ้น แต่เขาได้ตั้งท่าเตรียมพร้อมให้แขนท่อนบนแนบลำตัวพร้อมไว้ก่อนเสมอแล้วบิดลำตัวไปด้านหลังเพื่ออัดแรงจึงดูเหมือนว่าแขนท่อนบนถูกเหวี่ยงไปด้านหลังเยอะมาก
กว่าจะถ่ายน้ำหนักเข้าหาลูกได้แบบนี้ต้องฝึกฝนกันอย่างไร มาดูวิดีโอนี้กัน
เมื่อ follow through ไปจนสุด น้ำหนักตัวต้องลงไปที่เท้าหน้า สะโพกต้องขยับเล็กน้อยจากขวามาซ้ายหรืออยู่ตำแหน่งเดิม ต่างจากวิธีผิดๆที่มักใช้กัน เช่น หมุนตัวถ่ายน้ำหนักผิดจากเท้าหน้ามาเท้าหลัง หรือใช้การหมุนเอวอย่างเดียวไม่ได้ถ่ายน้ำหนักจะเห็นว่าสะโพกหมุนตัวจากซ้ายมาขวา(ของตัวผู้เล่น)ตามเด็กที่เห็นในวิดีโอข้างบนนี้
ดูให้ชัดๆกันอีกที่ว่า เมื่อถ่ายน้ำหนักจากเท้าหลังมาเท้าหน้าแล้ว ตำแหน่งสะโพกเป็นอย่างไร
เพื่อนชี้มือไปที่นักปิงปองที่กำลังซ้อม topspin กันอยู่ บอกว่าขอให้ดูเป็นตัวอย่าง เห็นไหมว่าเขาตีได้ดีอย่างไร เห็นไหมว่าเขาใช้แขนเหวี่ยงอย่างไร ผมดูตามแล้วก็นึกในใจว่า ที่เห็นว่าเขาตีได้ดีนั้น ยังไม่ดีนักหรอก แค่ตีลูกลงโต๊ะได้ต่อเนื่องหลายๆลูกติดกัน ยังไม่ได้หมายความว่าควรฝึกเลียนแบบเขาเป็นตัวอย่าง หลายคนอ่านมาถึงตรงนี้แล้วคงคิดในใจว่า ฝึกเลียนแบบแชมป์ปิงปองจาก YouTube ดีกว่าตั้งเยอะ
YouTube มีวิดีโอให้ดูเยอะแยะ ส่วนใหญ่เป็นวิดีโอแสดงการตีปิงปองของแชมป์ แต่ไม่ค่อยมีวิดีโอแสดงการตีปิงปองแบบผิดๆให้ดู ซึ่งถ้าไม่มีคำอธิบายภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษประกอบ มักดูแล้วเชื่อกันไปว่านั่นเป็นท่าตีที่ถูกต้องทั้งๆที่ผิด อย่างวิดีโอแสดงการฝึกซ้อมของเด็กคนนี้
เด็กคนนี้เล่นปิงปองได้คล่องแคล่วทั้งโฟร์แฮนด์และแบ็คแฮนด์ แต่เขาถ่ายน้ำหนักตัวจากเท้าหลังมาเท้าหน้าไม่เป็น ทำให้ต้องพึ่งแรงจากร่างกายส่วนบนเป็นหลัก อีกทั้งยังเหวี่ยงแขนอัดแรงในจังหวะ backswing น้อยมาก แรงที่ใช้ตีออกไปเกิดขึ้นหลังจากที่ไม้กระทบลูก ทำให้ตีเหมือนบล้อคลูกโดยใช้แรงของคู่ซ้อมที่ตีมาสะท้อนกลับไปมากกว่าการใช้แรงของตัวเอง นอกจากนี้เวลาตีหัวยังส่ายไปส่ายมามากเกินควรตามลักษณะของการใช้ร่างกายส่วนบน
ตอนแรกที่ผมฝึกตีปิงปองก็ไม่ได้ต่างจากเด็กคนนี้เท่าใดนัก ถ้าไม่มีใครตักเตือนจะไม่รู้ตัวเลยว่า ท่าที่ใช้อยู่นั้นยังใช้ไม่ได้ ยังไม่ดีนักหรอก แม้ว่าจะฝึกจนกระทั่งสามารถตีได้แรง เร็ว เลียดเน็ต หมุนจัด และลงตำแหน่งปลายโต๊ะตามที่ต้องการแล้วก็ตาม แต่แรงที่ใช้ตีลูกออกไปยังไม่มีคุณภาพเต็มที่เพราะไม่รู้จักถ่ายน้ำหนักและหมุนอวัยวะส่วนต่างๆตามการเหวี่ยงแขนให้ถูกจังหวะ
นักปิงปองสามารถตรวจสอบการถ่ายน้ำหนักและวงเหวี่ยงด้วยตัวเองได้โดยจับผ้าขนหนูผืนสั้นๆไว้ในมือแทนไม้ปิงปองแล้วทดลองเหวี่ยงแขนและถ่ายน้ำหนักดูว่า ผ้าขนหนูสะบัดไปเองมากหรือน้อยเพียงใด
ท่าแรกให้ทดสอบการถ่ายน้ำหนักอย่างเดียวก่อนโดยแนบแขนท่อนบนไว้ติดกับลำตัวและเกร็งแขนท่อนล่างไว้ไม่ให้ขยับตาม แล้วลองถ่ายน้ำหนักตามแบบที่ตัวเองใช้อยู่ คอยสังเกตว่าผ้าขนหนูขยับเองมากหรือน้อย
จากนั้นทดลองถ่ายน้ำหนัก หมุนลำตัว หมุนแขนท่อนบน และหมุนแขนท่อนล่างตามลำดับ (วงกลมที่แสดงในภาพแสดงถึงการเหวี่ยงโดยมีจุดศูนย์กลางเป็นจุดหมุน) ถ้าเห็นผ้าขนหนูสะบัดแรงขึ้นมาก แสดงว่าสามารถจัดลำดับการถ่ายทอดแรงไปสู่ปลายมือได้ดีขึ้น เมื่อเปลี่ยนผ้าขนหนูเป็นไม้ปิงปองย่อมตีได้แรงอย่างมีคุณภาพ
นักปิงปองยุโรปมีร่างกายสูงใหญ่และมีน้ำหนักมาก กว่าจะขยับตัวหรือเหวี่ยงแขนได้ต้องออกแรงมากตามไปด้วย ดังนั้นจึงแก้ปัญหาด้วยการลดรัศมีของวงเหวี่ยงลง แทนที่จะใช้การเหวี่ยงแขนทั้งท่อนโดยเหยียดแขนตรง ก็เปลี่ยนมาเป็นการงอแขนช่วงข้อศอกไว้แล้วใช้การสะบัดแขนช่วงสั้นๆและใช้ข้อมือสะบัด ส่วนนักปิงปองจีนมีร่างกายที่เล็กกว่าและฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อไว้ดีมาก จึงสามารถเหวี่ยงแขนที่เหยียดตรงได้ง่ายกว่า
ไม่ว่าจะเป็นนักปิงปองยุโรปหรือจีน พอเหวี่ยงแขนตีลูกปิงปองออกไปแล้ว ต้องหาทางดึงแขนกลับมาตั้งท่าอัดแรงไว้สำหรับโต้ตอบลูกถัดไปให้เร็วที่สุดและต้องยังคงรักษาสมดุลของร่างกายไว้ด้วยเพื่อพร้อมที่จะตีลูกถัดไปได้โดยไม่เสียหลักและสามารถถ่ายเทน้ำหนักได้เต็มที่
รูปแรก Ma Long เหวี่ยงแขนอัดแรงไว้เกือบเต็มที่ในจังหวะที่ลูกปิงปองกระทบโต๊ะ พอลูกปิงปองกระเด้งขึ้นก็จะเหวี่ยงแขนอัดแรงไปข้างหลังเพิ่มอีกเล็กน้อยแล้วปล่อยพลังทั้งหมดจากการถ่ายน้ำหนักจากเท้าหลังมาเท้าหน้าแล้วหมุนสะโพก(ซึ่งเป็นพลังหลัก)เข้าหาลูกปิงปองที่กำลังกระเด้งขึ้น โดยเหวี่ยงแขนท่อนบนแล้วสะบัดแขนท่อนล่างเร็วกว่าแขนท่อนบนอย่างมาก จากนั้นในจังหวะที่ไม้กระทบกับลูกปิงปองในรูปที่ 5 เป็นจังหวะที่ไม้เหวี่ยงด้วยความเร็วสูงสุดและร่างกายส่วนบนกลับมาตั้งตรงช่วยทำให้สามารถควบคุมทิศทางได้แม่นยำ
ห้ามยกไหล่หรือข้อศอกขึ้นในจังหวะปล่อยแรง เพราะจะทำให้เสียสมดุลของแรงที่ถ่ายทอดออกไป
พอเหวี่ยงแขนตีลูกไปแล้ว รีบปล่อยกล้ามเนื้อตามสบายแล้วเก็บแขนท่อนบนเข้าหาลำตัวเพื่อลดรัศมีของวงเหวี่ยงลงเพื่อลดแรงเฉื่อย ช่วยทำให้สามารถเหวี่ยงแขนกลับมาพร้อมกับบิดเอวเพื่ออัดแรงได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังใช้แขนซ้ายกางออกเล็กน้อยเพื่อช่วยรักษาสมดุลอีกด้วย
สังเกต Wang Liqin ก็ใช้วิธีเดียวกัน
หากคุณขยับตัวไปข้างหน้าเพื่อถ่ายน้ำหนักพร้อมกันกับเหวี่ยงแขนไปข้างหน้าในจังหวะเดียวกัน แรงที่ถ่ายทอดไปสู่ไม้ปิงปองจะไม่ส่งผลได้เต็มร้อย ถ้าขยับตัวเร็วกว่าการเหวี่ยงแขนจะทำให้แรงจากการเหวี่ยงแขนสูญเปล่าไปสิ้นเชิง ถ้าเหวี่ยงแขนได้แรงกว่าการขยับตัวจะทำให้แรงจากการถ่ายน้ำหนักสูญเปล่าเช่นกัน
นักปิงปองที่ฝึกถ่ายน้ำหนักตัวจากด้านหลังไปด้านหน้าเพื่อส่งแรงเข้าหาลูกต้องจัดจังหวะการขยับอวัยวะส่วนอื่นๆให้มีจังหวะเริ่มต้นและสิ้นสุดที่ต่อเนื่องกัน (ไม่ใช่เคลื่อนที่ไปพร้อมกัน) จึงจะเกิดแรงที่ถ่ายทอดไปสู่หน้าไม้และลูกปิงปองสูงสุด
จุดสำคัญของการถ่ายทอดแรงจากอวัยวะแต่ละส่วนคือต้องไม่เคลื่อนอวัยวะไปพร้อมกันและต้องเคลื่อนที่ไปข้างหน้ารอบจุดหมุน
- สะโพก ลำตัว และไหล่ มีจุดหมุนรอบแนวกระดูกสันหลัง สังเกตง่ายๆว่าระหว่างการเหวี่ยงไม้ ศรีษะจะอยู่คงที่ ไม่เคลื่อนไปเคลื่อนมา โดยเมื่อไหล่ขวาเคลื่อนไปข้างหลังเพื่ออัดแรง ไหล่ซ้ายต้องหมุนมาอยู่ข้างหน้าแนวของไหล่ขวา เมื่อไหล่ขวาเคลื่อนไปข้างหน้าเพื่อส่งแรง ไหล่ซ้ายต้องหมุนมาทางด้านหลัง
- แขนท่อนบน ใช้หัวไหล่เป็นจุดศูนย์กลางการหมุน
- แขนท่อนล่าง ใช้ข้อศอกเป็นจุดศูนย์กลางการหมุน
- มือ ใช้ข้อมือเป็นจุดศูนย์กลางการหมุน
จุดหมุนที่สำคัญที่สุด คือ การหมุนสะโพกซึ่งมีรัศมีจากศูนย์กลางถึงกระดูกขาเพียงไม่กี่นิ้วและเป็นอวัยวะที่มีมวลมากเป็นอันดับสองของร่างกายรองมาจากช่วงไหล่ เมื่อสะโพกหมุนเพียงเล็กน้อยจะทำให้แขนที่มีรัศมีมากกว่าหลายเท่าหมุนด้วยความแรงและความเร็วได้เองโดยแทบไม่ต้องออกแรงเหวี่ยงแขนด้วยซ้ำไป
การหมุนสะโพกมีระนาบการหมุนขนานกับพื้นเป็นระนาบเดียวกับการตีปิงปองไปข้างหน้า จึงช่วยรักษาสมดุลได้ดีกว่าการถ่ายแรงจากการดีดเท้าหรือหมุนลำตัวช่วงบนซึ่งมีระนาบของการหมุนไม่คงที่
- ในจังหวะสวิงไปข้างหน้า เมื่อหมุนสะโพกไปข้างหน้าจนลำตัวกลับมาสู่สภาพเตรียมพร้อมที่ลำตัวหันหน้าเข้าหาลูกแล้วก็จะไม่หมุนสะโพกตามไปอีก เพื่อทำให้เกิดแรงสะบัดส่งต่อไปยังแขนท่อนบน
- พอเหวี่ยงแขนท่อนบนเร่งความเร็วได้สูงสุดแล้วก็จะไม่หมุนหัวไหล่ตามต่อไปอีก เพื่อทำให้เกิดแรงสะบัดส่งต่อไปยังแขนท่อนล่าง
- แขนท่อนล่างจะเหวี่ยงออกด้วยอัตราเร่งโดยตำแหน่งข้อศอกแทบไม่เคลื่อนที่เลย เพื่อปล่อยให้แขนท่อนล่างใช้ข้อศอกเป็นจุดหมุน
- เมื่อไม้กระทบลูกแล้ว ในการ follow through อวัยวะทุกส่วนจะเคลื่อนตามกันไปอย่างอิสระ เพื่อลดความเร็วของหน้าไม้ลงจนหยุด
ยุคนี้ท่าตีที่เฟื่องฟู เห็นฝึกกันเป็นแถวหนีไม่พ้น backhand loop แต่ท่าคู่ปรับที่เอาชนะกันได้ไม่ยากก็คือ backhand punch block ซึ่งใช้อัดลูกที่ loop มากลับไปทั้งเร็วและแรงทำให้คนที่เอาแต่ loop ตั้งหลักกลับมาตีลูกต่อไปไม่ทัน
Backhand punch block เหนือกว่าการบล้อคลูกที่ตั้งหน้าไม้ไว้เฉยๆแล้วปล่อยให้ลูกกระเด้งกลับไป ตรงที่ผู้ตีออกแรงกระแทกลูกปิงปองที่หมุนแบบ topspin กลับไปให้ลูกมีเวลาสัมผัสหน้ายางน้อยที่สุด โดยหลีกเลี่ยงการพยายามตีลูกให้หมุน topspin กลับไปเพื่อไม่ให้การหมุนแบบ topspin ที่มีอยู่ส่งผล หรืออีกนัยหนึ่งมุ่งใช้ความแรงแทนการหมุนในการโต้กลับไป
แทนที่จะบล้อคธรรมดา แค่ปรับให้ปั่นลูกแปลกๆกลับไปโดยกระทบลูกปิงปองให้ใกล้กับขั้วของลูกที่หมุนมาเพื่อลดอิทธิพลของการหมุนของลูกปิงปองที่ส่งมา ฝ่ายบุกต้องหัวหมุน ดูไม่ออกว่าใครบุกใครกันแน่
ปิงปองเป็นกีฬาที่เล่นง่าย แต่ไม่ง่ายที่จะตีปิงปองให้ถูกต้อง ยิ่งกีฬานี้ใช้ยางปิงปองและไม้ปิงปองที่มีสมรรถภาพมากขึ้น การเล่นปิงปองก็ย่อมเร็วขึ้น แรงขึ้น หมุนมากขึ้น ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยท่าตีที่ถูกต้อง มิใช่ว่าอาศัยแค่แขนและลำตัว แต่ยังต้องอาศัยกำลังขาที่ดีเพื่อย่อตัวให้ต่ำลงและมีฟุตเวิร์คที่ว่องไว ต้องมีความคล่องตัวที่ได้จากขาและเท้า
นักปิงปองที่ชำนาญไม่ได้ตีแรงๆโดยใช้แขนเหวี่ยงเป็นหลัก แต่จะใช้การถ่ายน้ำหนักตัวช่วย เมื่อต้องการตีให้แรงมากขึ้นจะเริ่มจากทิ้งน้ำหนักลงที่เท้าหลังแล้วดีดขาผลักน้ำหนักมาลงที่เท้าหน้า แล้วต้องหาทางหยุดแรงที่ถ่ายทอดมาจากขาหลังโดยยังคงรักษาสมดุลของร่างกายไว้ใช้สำหรับเล่นลูกต่อไป
การหยุดแรงที่ถ่ายมาที่เท้าหน้านี่แหละสำคัญมาก หลายคนใช้ขาหน้าช่วงหัวเข่ายันไว้เพื่อรับแรง เมื่อเล่นเสร็จจะปวดกล้ามเนื้อต้นขาหน้าและเอวที่ต่อกันอย่างมาก สุดท้ายแล้วก็จะเจ็บเข่าต้องเลิกเล่นปิงปองไปเลย หรือบางคนใช้เท้าหน้าเป็นจุดหมุนเพื่อเหวี่ยงตัวตามแรงที่ทิ้งน้ำหนักมาก ในที่สุดก็จะเจ็บข้อเท้า เพราะไม่ได้ใช้การพับข้อเท้าเพื่อช่วยรับแรงที่ส่งมา
ยิ่งในการแข่งขันหรือซ้อม multi ball ที่ต้องหมุนตัวเพื่อตีซ้ายทีขวาที สั้นบ้างยาวบ้าง ต้องสะบัดตัวกระชากไปมาอย่างรวดเร็ว ยิ่งเสี่ยงต่อการบาดเจ็บกล้ามเนื้อและกระดูกสันหลัง ดังนั้นหากร่างกายยังไม่พร้อมเต็มที่ อย่าเพิ่งลงแข่งหรือซ้อม multi ball แม้แพ้ชนะไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่การแข่งขันมักทำให้ลืมตัวเล่นเกินกำลังอยู่เสมอ อาจทำให้บาดเจ็บถึงขั้นต้องผ่าตัดหรือต้องพักรักษาตัวกันนาน
คนที่ไม่เคยต้องเลิกเล่นปิงปองเพราะบาดเจ็บมาก่อน มักนึกภาพไม่ออก บอกความรู้สึกไม่ถูก ต่อเมื่อเจอเข้ากับตัวก็สายเกินไปแล้ว
จากวิดีโอนักกีฬาจีน สังเกตปลายเท้าซ้ายให้ดี พอเขาถ่ายน้ำหนักมาลงที่เท้าหน้า จะเห็นว่าเขายืดขาหน้าออกไปด้านข้างพร้อมกับหมุนปลายเท้าตามขาออกไปด้วย เพื่อปรับแนวท่อนขาทั้งบนและล่างจนถึงปลายเท้าเป็นเส้นตรง ทำให้สะดวกที่จะใช้ข้อพับที่เอว ข้อเข่า และข้อเท้าในการงอเพื่อรับแรงได้สะดวก
นักปิงปองที่ตั้งท่าตีไม่ถูกต้องตั้งแต่เริ่มน่าห่วงที่สุด นักปิงปองเก่งๆบางคนวางเท้าแบบขนานกับเส้นสกัดหลังโต๊ะไว้ตลอดไม่ยอมปรับแนวการวางเท้าและขา ส่วนนักปิงปองหน้าใหม่สลับข้างการวางเท้าเสียอีก เช่น ในการตีโฟร์แฮนด์ ดันวางเท้าซ้ายไว้ข้างหลังแล้วเอาเท้าขวาไว้ข้างหน้าเพราะเห็นว่าท่านี้ตีแบคแฮนด์ได้สะดวกด้วย สุดท้ายแล้วก็จะปวดหลังเพราะต้องใช้ลำตัวช่วยในการหยุดแรง อนาคตของนักปิงปองเหล่านี้ร่างกายทนอยู่ได้ไม่นานหรอก
นอกเหนือจากมิติของความกว้างและความยาวซึ่งหมายถึงระยะทางและทิศทางที่ตีลูกปิงปองออกไปแล้ว ความสูงที่ลูกปิงปองลอยข้ามเน็ตเป็นมิติที่สามซึ่งช่วยทำให้นักปิงปองสามารถใช้ความหมุนให้เกิดประโยชน์ได้เต็มที่
จริงอยู่ที่ลูกเลียดเน็ตเป็นลูกที่ลดโอกาสที่คู่ต่อสู้จะบุกกลับ หลายคนจึงแนะนำให้ฝึกตีลูกปิงปองให้เลียดเน็ตมากที่สุด ถ้าเป็นลูกหยอดก็ต้องเลียดเน็ตและสั้น ถ้าเป็นลูกยาวเลียดเน็ตก็ต้องพยายามตีให้ลงที่มุมปลายโต๊ะฝั่งตรงข้าม แต่การทำเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย หลายครั้งกลับตีติดเน็ตเสียเอง แทนที่ลูกเลียดเน็ตจะช่วยทำคะแนนกลับเพิ่มความเสี่ยงทำให้เสียคะแนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องแข่งขันกับนักปิงปองที่เก่งกว่า หรือตัวเองกำลังเสียหลัก ตกอยู่ในสภาพต้องหาทางป้องกันตัวเอง
ถ้ายังไม่มั่นใจว่าบุกแล้วทำคะแนนได้ นักปิงปองที่ชำนาญจะไม่ตีลูกที่เสี่ยงเด็ดขาด เขาจะเลือกตีลูกวิถีโค้งไว้ก่อนโดยไม่ได้พยายามให้เลียดเน็ต บางลูกที่ตีไม่ถนัดหรือยืนระยะไกล จะตีลูกให้วิ่งกลับไปสูงเหนือเน็ตมากๆด้วยซ้ำ เพื่อซื้อเวลาช่วยให้ตัวเองกลับมาตั้งหลักทัน แต่ป้องกันไม่ให้ถูกตบกลับง่ายๆโดยปั่นลูกปิงปองให้หมุนมากๆแทนที่จะตีแรงๆ และส่งลูกไปลงในตำแหน่งที่คู่ต่อสู้โต้กลับลำบาก เช่น ส่งลูกย้อยไปลงด้านแบ็คแฮนด์หรือชิดลำตัว
ลูกวิถีโค้งจะเป็นอาวุธที่ปลอดภัยสำหรับคุณแต่มีพิษสงร้ายแรงสำหรับคู่ต่อสู้ เมื่อผสมการหมุนมากน้อย ลูกสั้นหรือลูกยาว ลูกสูงหรือลูกต่ำ และทิศทางเข้าด้วยกัน ฝึกตีลูกวิถีโค้งให้เป็นหลายๆแบบ หากสังเกตวิถีของลูกที่แชมป์ปิงปองชอบใช้ให้ดี คุณจะพบว่าเขาเล่นลูกโค้งย้อยเหนือเน็ตกันเป็นส่วนมากและไม่ได้ออกแรงตีมากเหมือนลูกเลียดเน็ต
เมื่อตีลูกวิถีโค้งด้วยความแรงเท่าเดิม
- ถ้าปั่นลูกให้หมุน topspin มากขึ้น จะกลายเป็นลูกสั้นลง ดังนั้นต้องตีให้แรงขึ้นและมีทิศทางไปข้างหน้ามากขึ้นด้วยเพื่อตีให้ลงได้ระยะทางยาวขึ้น
- ถ้าปั่นลูกให้หมุน topspin มากๆและโค้งย้อยสูงกว่าเน็ตมากๆ คู่ต่อสู้จะดูเหมือนลอยไม่ลงโต๊ะ แต่จากอิทธิพลของการหมุน topspin จะกดวิถีของลูกขาลงให้สั้นลงและลงปลายโต๊ะ
- ถ้าปั้นลูกให้หมุน backspin มากขึ้น จะกลายเป็นลูกยาวขึ้น ดังนั้นต้องตีแรงลดลงเพื่อไม่ให้ลอยไม่ลงโต๊ะ
คู่ต่อสู้ต้องคาดการณ์ถึงความหมุนของลูกที่ลอยมาให้ดี ถ้าคว่ำหน้าไม้เพื่อบล้อค แต่ลูกที่ลอยโค้งมาไม่ได้หมุนแบบ topspin มามากๆอย่างที่คิด (Dummy Loop) ก็จะบล้อคติดเน็ต
การตีแบบ hook หรือ fade เป็นข้อผิดพลาดที่พบบ่อยมากในการฝึกแบ็คแฮนด์ของนักปิงปองมือใหม่ แทนที่จะตั้งหน้าไม้ให้ตั้งฉากกับทิศทางที่ต้องการส่งลูกออกไป เมื่อฝึกเหวี่ยงไม้ยังไม่คล่อง เหวี่ยงช้าไปบ้างเร็วไปบ้าง ทำให้ไม้กระทบลูกปิงปองตรงด้านนอกหรือด้านใน ลูกที่กระเด้งออกจากไม้กลายเป็นลูกหมุนข้างที่ไม่สามารถควบคุมความแม่นยำ ยากที่จะส่งลูกไปยังตำแหน่งที่ต้องการ
ถ้าไม้กระทบตรงด้านนอกของลูกปิงปอง เรียกว่า hook เป็นลูกหมุนข้างตามเข็มนาฬิกา แต่ถ้าไม้กระทบตรงด้านใน เรียกว่า fade เป็นลูกหมุนข้างทวนเข็มนาฬิกา ซึ่งนักปิงปองมือใหม่มักเหวี่ยงไม้ช้าไป ตีลูกประชิดใกล้ตัวเกินไป ส่วนนักปิงปองที่ฝึกจนชำนาญต้องสามารถตีลูกปิงปองได้ทุกแบบ โดยปรับหัวไม้ให้ชี้ลงหากต้องการ hook หรือปรับหัวไม้ให้ชี้ขึ้นหากต้องการ fade
ลูก Sidespin แบบ hook มีวิถีโค้งเข้าหาตัวคู่ต่อสู้จึงเหมาะสำหรับการตีอัดเข้ากลางลำตัวตรงใต้ข้อศอกขวา ส่วนลูกแบบ fade มีวิถีโค้งออกจากตัวคู่ต่อสู้จึงเหมาะสำหรับตีโยกลูกไกล
ปิงปองมีท่าทางไม่ต่างจากมวยจีนเท่าใดนัก ท่ายืนต้องมั่นคง หมัดต้องมีกำลัง สามารถใช้กล้ามเนื้อทุกส่วนอย่างประสานกัน และมีท่าทั้งบุกและรับ ถ้าเขาแรงมาก็ต้องอ่อนไป ถ้าเขาอ่อนมาก็บุกกลับไป แต่ปิงปองไม่ได้มีแค่คู่ต่อสู้เท่านั้นที่ต้องเอาชนะ ยังต้องหาทางปรับวงสวิงเพื่อเอาชนะโต๊ะปิงปองที่ตั้งอยู่ข้างหน้าอีกด้วย
ยุคนี้นักปิงปองมักคลั่งไคล้อยากตีลูก topspin ให้เป็นตั้งแต่แรก ซึ่งต้องฝึกเหวี่ยงแขนให้มีวงสวิงจากล่างขึ้นบนเพื่อสร้างการหมุนแบบ topspin ให้กับลูกปิงปอง ยิ่งตีเฉียดผิวลูกปิงปองได้น้อยมากเท่าใด ยิ่งสร้างการหมุนได้มากขึ้น เริ่มจากเหวี่ยงแขนลงด้านล่างแล้วเหวี่ยงขึ้นมา ถ้าเหวี่ยงแขนเฉียงไปข้างหน้ามากกว่าไปข้างบนก็จะได้ลูกที่แรงมากกว่าหมุนกลายเป็น Loop Drive แต่ถ้าเหวี่ยงเฉียงไปข้างบนมากกว่าไปข้างหน้าจะได้ลูกที่หมุนมากกว่าแรง กลายเป็น Slow Loop
ซึ่งไม่ว่าจะเป็น Loop แบบใด ก็ต้องเหวี่ยงจากล่างขึ้นบนโดยไม่ให้ชนขอบโต๊ะ นั่นแสดงว่าต้องตีให้โดนลูกที่อยู่ไกลจากโต๊ะและตีโดนลูกในจังหวะที่ลูกมีความสูงจากโต๊ะไม่มากนัก แต่ถ้าคู่ต่อสู้ส่งลูกสั้นมาที่กระเด้งแล้วลอยไม่ถึงขอบโต๊ะล่ะ หากยังเหวี่ยงเป็นท่าเดียวแบบล่างขึ้นบนเห็นทีต้องเหวี่ยงไม้ชนโต๊ะแน่นอน เว้นแต่จะฝึกวงสวิงให้มีจุดเริ่มต้นไม่ต่ำกว่าระดับโต๊ะซึ่งผู้ตีท่านี้ได้ต้องใช้กำลังเสริมจากแรงดีดของขาและการบิดลำตัวอย่างมาก เพราะไม่มีระยะทางให้เหวี่ยงแขนส่งแรงจากล่างขึ้นบนได้เต็มที่
แทนที่จะเอาแต่ฝึกเหวี่ยงวงสวิงจากล่างขึ้นบนเป็นอยู่ท่าเดียว ควรฝึกกระบวนยุทธให้ไร้ท่าเพื่อสามารถดัดแปลงให้เข้ากับทุกสถานการณ์ หาทางฝึกเหวี่ยงแขนให้เป็นจากทุกทิศทาง ไม่ว่าจะเหวี่ยงจากล่างขึ้นบน หรือเหวี่ยงจากบนลงล่าง หรือจะเหวี่ยงในแนวระนาบเดิม ทุกท่าสามารถสร้างลูกหมุนแบบ topspin ได้ทั้งนั้นเพียงรู้จักปรับมุมหน้าไม้ให้เป็นก็ได้แล้ว
เมื่อใดที่ลูกสูงกว่าเน็ต เมื่อนั้นต้องพยายามฝึกเหวี่ยงแขนตีลูกจากบนลงล่างให้เป็นด้วย
การจัดวางตำแหน่งข้อศอกขวาให้ดีถือเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างยิ่งในการตีปิงปอง หากเอาข้อศอกแนบติดลำตัวไว้ตลอดย่อมทำให้หมดโอกาสใช้แรงเหวี่ยงจากแขนท่อนบนหรือหัวไหล่ นักปิงปองแบบนี้ทำท่าตีเหมือนกุ้งแห้งซึ่งงอตัวตรงบั้นเอวลงไปด้านข้างแล้วออกแรงจากการเคลื่อนลำตัวส่วนบนแทนทำให้ยากที่จะรักษาสมดุล เพราะลำตัวส่วนบนมีน้ำหนักมาก พอเอียงไปจากแนวตั้งก็จะทำให้ลำตัวทั้งหมดเซตาม
สาเหตุที่ขี้เกียจอ้าข้อศอกออกจากลำตัวเป็นเพราะรู้สึกว่าต้องออกแรงยกแขนท่อนบนเพื่ออ้าข้อศอก พอทำได้ไม่นานก็เมื่อยเลยเลิกอ้าข้อศอก โดยหารู้ไม่ว่าการบอกให้แก้ไขให้อ้าข้อศอกนั้นเป็นการแก้ไขที่ผิดจุด หากนักปิงปองพับลำตัวส่วนบนจนถึงเอวลงมาด้านหน้าแล้วปล่อยแขนท่อนบนให้ห้อยทิ้งน้ำหนักตกลงมาตรงๆ จะพบว่าข้อศอกอ้าออกห่างจากลำตัวได้เองโดยธรรมชาติ ไม่ต้องเหนื่อยอ้าข้อศอกให้เมื่อยแม้แต่น้อย
พอท่าเริ่มต้นมีช่วงห่างระหว่างข้อศอกกับลำตัวดีแล้ว จะสามารถเหวี่ยงแขนท่อนบนโดยใช้แรงจากหัวไหล่ได้สะดวกขึ้นมาก โดยเฉพาะการตีแบคแฮนด์ให้ยกข้อศอกไปข้างหน้าลำตัวให้มากหน่อย (ไม่ใช่ด้านข้างอย่างเดียว) เพื่อทำให้มีระยะห่างสำหรับเหวี่ยงอัดแรงจากแขนท่อนบนและแขนท่อนล่างเข้าหาลำตัวได้มากขึ้น จะตีได้แม่นยำและแรงมากขึ้น ดีกว่าเอาแต่ใช้แรงจากข้อมือซึ่งออกแรงได้น้อยกว่าแรงจากแขนอย่างมาก
ในจังหวะที่ไม้กระทบลูก ตำแหน่งของข้อมือควรยกไม้ให้สูงกว่าหรือเท่ากับปลายสุดของข้อศอกขวา เพราะการปล่อยไม้ให้ตกลงย่อมทำได้ง่ายและเร็วกว่าการยกไม้ขึ้น ที่สำคัญกว่าคือจะช่วยในการควบคุม ทำให้สามารถปิดหน้าไม้ให้คว่ำลงได้ง่ายจากการคว่ำช่วงแขนท่อนล่างลงโดยไม่ต้องใช้ข้อมือบิดหน้าไม้แม้แต่น้อย จะพลิกแพลงท่าเสริฟได้ง่ายขึ้น และพอตำแหน่งข้อมืออยู่สูงกว่าข้อศอกจะมีช่วงการเหวี่ยงแขนท่อนล่างได้กว้างและยืดหยุ่นต่อการรับลูกมากขึ้น จะสามารถบุกลูกบนโต๊ะได้สะดวกโดยไม่ต้องเหวี่ยงแขนท่อนบนมากนัก
สังเกตภาพต่อไปนี้ ตำแหน่งข้อศอกขวามีระดับต่ำกว่าหรือระดับเดียวกับข้อมือในจังหวะที่ไม้กระทบลูก
การ topspin ที่ลากไม้จากล่างขึ้นบน แม้แต่ในจังหวะที่ไม้กระทบลูกในระดับต่ำ
ตำแหน่งข้อศอกขวาอยู่ระดับต่ำกว่าหรือระดับเดียวกับข้อมือเช่นกัน
ถ้าใครไม่ยอมย่อตัวลงมา จะพบว่าเวลาตีลูกสั้นและเลียดบนโต๊ะจะมีระดับของมืออยู่ต่ำกว่าข้อศอก ถ้ารับเสร็จแล้วลืมยกมือขึ้นให้สูงกว่าข้อศอกไว้เตรียมพร้อม ถ้าลูกต่อมาถูกส่งเข้าชิดตัวและมีวิถีโค้งสูงกว่าปกติจะตีกลับได้ไม่สะดวก นี่คือสาเหตุที่นักปิงปองมักเสริฟสั้นลงทางด้านขวาปลายสุดมือของคู่ต่อสู้
ส่วนการตีแบคแฮนด์แบบ Chiquita หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Banana Flip ซึ่งตีลูกสั้นบนโต๊ะ ต้องยกข้อศอกขวาให้สูงกว่าข้อมือ ทำให้สามารถสอดไม้ปิงปองลงด้านข้างของลูกเพื่อปั่นลูกให้หมุนแบบ sidespin โดยกระทบลูกที่ขั้วของการหมุนซึ่งมีอิทธิพลของลูกที่หมุนมาน้อยที่สุด แต่ถ้าเป็นลูกยาวนอกโต๊ะที่ลูกย้อยต่ำอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องยกข้อศอกขวาให้สูงกว่าข้อมือเพราะข้อมือมีระดับต่ำอยู่ในตัวอยู่แล้ว
นอกจากนี้เพื่อช่วยรักษาสมดุลเวลาเหวี่ยงแขน ตำแหน่งข้อศอกซ้ายต้องห่างจากลำตัวและยกแขนท่อนล่างขึ้นให้ข้อมือซ้ายมีระดับสูงกว่าข้อศอกซ้ายเช่นกัน ห้ามปล่อยแขนซ้ายตกลงแนบติดลำตัวหรือยกแขนท่อนบนแนบติดลำตัวเด็ดขาด นักปิงปองจีนที่ถนัดขวามีท่าเหวี่ยงแขนซ้ายที่สวยมากเหมือนรำมวยจีนทีเดียว
ญี่ปุ่นสนับสนุนให้เล่นกีฬาตั้งแต่เป็นเด็ก มีการ์ตูนแข่งโกะ เทนนิส และปิงปอง ส่วนภาพยนตร์ที่ใช้คนจริงๆเล่นก็มีที่กระตุ้นให้เด็กที่ฝึกว่ายน้ำให้ดีดตัวทีเดียวเหิรเหนือผิวน้ำข้ามหัวคู่แข่งที่ว่ายท่าธรรมดา หรือยูโดมีท่ากงจักรนรกที่เอาชนะพระเอกในตอนต้นเรื่อง ต่อมาพระเอกคิดท่ากงจักรนรก 2 ชั้นกลางอากาศขึ้นมาเอาชนะได้ในที่สุด มีท่าไม้ตายสารพัดแบบที่ดูแล้วไม่น่าเป็นไปได้ ซึ่งแม้จะเป็นไปไม่ได้แต่ช่วยให้เด็กญี่ปุ่นมีความคิดสร้างสรรค์หาทางทำสิ่งที่ปกติคนธรรมดาไม่ทำกัน อย่างหัวเรื่องวงสวิง 2 ชั้นนี้น่าจะแต่งใหม่เป็นวงสวิง 2 ชั้นกลางอากาศบ้างเหมือนกันจะได้ดูแล้วเตะตาขึ้นหน่อยหรือทำให้คิดว่าเป็นเรื่องโม้แล้วกระมัง แต่เป็นเรื่องที่ทำได้จริงไม่ได้เป็นเรื่องเพ้อฝันแต่อย่างใด
ถ้าเหวี่ยงแขนตีโฟร์แฮนด์โดยใช้หัวไหล่เป็นจุดหมุนจุดเดียว แขนทั้งแขนจะเคลื่อนตามกันไปโดยมีหัวไหล่เป็นจุดศูนย์กลางของการเหวี่ยงใช่ไหม แม้สะบัดแขนท่อนล่างโดยใช้ข้อศอกเป็นจุดหมุนก็ยังเหวี่ยงไปในแนวเดียวกันกับแขนท่อนบน นี่คือวงสวิงปกติแบบชั้นเดียวที่ใช้กัน ข้อดีของวงสวิงแบบนี้จะทำให้แรงจากการเหวี่ยงแขนทั้งจากท่อนบนและท่อนล่างเสริมกันเพราะมีระนาบและทิศทางของการเคลื่อนที่ไปในแนวเดียวกัน แต่กลับต้องใช้ระยะทางยาวในการเหวี่ยง
วงสวิงโฟร์แฮนด์สามารถปรับจากชั้นเดียวให้เป็น 2 ชั้นได้ไม่ยาก แค่ปรับการเหวี่ยงของแขนท่อนล่างให้มีแนวระนาบต่างจากแขนท่อนบน เช่น เหวี่ยงแขนท่อนบนให้ข้อศอกเคลื่อนที่ไปข้างหน้าตรงๆเหมือนกับท่าตีศอกเสยขึ้นของมวยไทยแต่ไม่ต้องถึงกับต้องยกศอกขึ้นสูง และในขณะเดียวกันให้เหวี่ยงแขนท่อนล่างให้หน้าไม้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าทำมุม 45 องศากับผิวโต๊ะ นี่เป็นเพียงตัวอย่างให้ดูว่าการเหวี่ยงแขนของคนเราสามารถทำได้หลายแบบ ไม่จำกัดว่าต้องเหวี่ยงในแนวเดียวกันไปทั้งแขน
วงสวิง 2 ชั้นจะช่วยทำให้การตีแบคแฮนด์มีอานุภาพมากขึ้นจากการเคลื่อนแขนท่อนบนจากต่ำไปสูงเพื่อให้ข้อศอกเคลื่อนไปข้างหน้าตรงๆ ในขณะเดียวกันให้เหวี่ยงแขนท่อนล่างจากซ้ายไปขวาโดยใช้ข้อศอกเป็นจุดหมุน คล้ายกับท่าต่อยแย้บผสมกับการตบใส่หน้าคู่ต่อสู้ด้วยหลังมือไปพร้อมกัน
ถ้ายังนึกภาพไม่ออก ขอให้คิดจินตนาการกันเอง วงสวิงของจริงไม่ได้มีจำกัดแค่ 2 ชั้นเท่านั้น